วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การเลี้ยงสุนัขเพื่อเสริมฮวงจุ้ย



ปัจจุบันตรงกับปี 2548 ปีระกา หรือเป็นยุค 8 ตามหลักฮวงจุ้ยดาว 9 ยุค ถ้าพิจารณาจากโป๊ยข่วย หรือ ยันต์ 8 ทิศ บนจานหล่อแก หรือ เข็มทิศทางฮวงจุ้ย จะพบว่า เลข 8 ตรงกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มตั้งแต่ 22.5 ํ - 67.5 ํ และสัญญลักษณ์ทางฮวงจุ้ยที่ใช้แทนทิศทางนี้คือ สุนัข ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักประจำยุค 8 นี้นั่นเอง
เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า สมัยนี้เกือบทุกอาคารบ้านเรือนหันมาสนใจในการเลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อนเล่นในบ้านกันมากขึ้น ผิดจากสมัยก่อนที่มนุษย์มักจะเลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านเท่านั้น ความนิยมในการเลี้ยงสุนัขจะเห็นได้จากจำนวนคลีนิคสัตวแพทย์ และสถานรับเลี้ยงสุนัข หรือโรงแรมสุนัขชั้นดีผุดขึ้นอย่างกับดอกเห็ด ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ในยุค 8 (พ.ศ. 2547 - 2566) นี้ สัตว์เลี้ยงยอดนิยมจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย นอกจาก เจ้าตูบผู้แสนน่ารัก ของท่าน
บทบาทของสุนัขในทางฮวงจุ้ย
ในหลักการทางฮวงจุ้ย คือว่า " สุนัข " คือ บุตร บริวาร หรือ ความซื่อสัตย์ของเรานั่นเอง แม้ว่าสุนัขจะเป็นสัตว์ 1 ใน 12 นักสัตว์ก็ตาม ในช่วงปัจจุบันนี้ซึ่งเพิ่งเข้าสู่ยุคที่ 8 เป็นปีที่ 2 สามารถกล่าวได้ว่า สุนัขย่อมเป็นสัตว์ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อมวลมนุษย์อีกเป็นเวลาถึง 19 ปี (เนื่องจาก 1 ยุคมี 20 ปี) และสามารถท้าพนันได้เลยว่า ถ้านับสถิติกันจริงๆ ปัจจุบันสุนัขจะมีจำนวนมากที่สุดในโลก เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เลี้ยงประเภทอื่น
หลักการเลี้ยงสุนัขเพื่อเสริมฮวงจุ้ย
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าท่านจะนำสุนัขมาเลี้ยงในบ้านสัก 1 ตัว เพียงแต่ท่านทราบ วัน เดือน ปีเกิด ของสุนัข และสามารถหาสุนัขที่มีธาตุที่สัมพันธ์และให้คุณกับท่านได้ สุนัขตัวเล็กๆเพียงตัวเดียวก็อาจจะช่วยให้เจ้าของเกิดความสุข และช่วยเสริมบารมีของเจ้าของในเรื่องต่างๆได้ เช่น ตำแหน่งหน้าที่การงาน เงินทอง โชคลาภ เป็นต้น
นอกจากนี้การกำหนดทิศทางและตำแหน่งในการวางกรงของสุนัขจะช่วยเสริมบารมีให้เจ้าของในเรื่องต่างๆกัน เช่น ถ้าท่านวางกรงสุนัขทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้สุนัขมีสุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว บุตรหลานเชื่อฟังพ่อแม่ และอยู่ในโอวาท บริวารจงรักภักดี เป็นต้น แต่ถ้าท่านวางกรงสุนัขไปทางทิศใต้ จะเปรียบเสมือนเป็นลูกสาวคนเล็ก มีความซื่อสัตย์ ขี้อ้อน และรักเจ้าของ เป็นต้น
สุนัขกับธาตุทั้ง 5
สุนัข ก็คล้ายมนุษย์ตรงที่มีการวิเคราะห์ ธาตุทั้ง 5 ในแต่ละตัว ถ้าสุนัขที่ท่านเลี้ยงมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ก็ช่วยส่งผลดีต่อเจ้าของไปด้วย และถ้าสุนัขที่ท่านเลี้ยงเป็นโรคประจำตัวต่างๆ ก็แสดงว่าสุนัขของท่านขาดธาตุใดธาตุหนึ่งใน 5 ธาตุ ดังนี้
ลำดับที่
โรคที่เกิดกับสุนัข
ขาดธาตุสำคัญ
แก้ไขโดยการวางกรงหรือจัดที่อยู่ให้ใหม่ตามทิศทางที่ถูกต้อง
1.
โรคตับหรือโรคปอด
ธาตุไม้
ทิศตะวันออก หรือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้
2.
ท้องอืด ท้องเฟ้อ โรคลำไส้ โรคกระเพาะ
ธาตุดิน
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ หรือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
3.
โรคกระดูก
ธาตุทอง
ทิศตะวันตก
4.
โรคเลือด
ธาตุน้ำ
ทิศเหนือ
5.
โรคหัวใจ หรือ โรคความดันโลหิต
ธาตุไฟ
ทิศใต้
อย่างไรก็ดี การหาตำแหน่งการจัดวางกรงสุนัขดังกล่าวข้างต้น หากไม่สามารถหาพื้นที่ในการวางกรงในตำแหน่งนั้นๆได้ ก็สามารถแก้เคล็ดด้วยการหาภาพถ่ายของสุนัขตัวโปรดของคุณไปวาง ณ ตำแหน่งนั้นๆ แทน ก็จะช่วยแก้ไขได้เช่นกัน
บทสรุป
ท่านเชื่อหรือยังว่า แม้แต่การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแสนรักสัก 1 ตัว ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับทิศทางของฮวงจุ้ยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากเราไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องราวดังกล่าวมากมายนัก การเลี้ยงสุนัขสักตัวก็เป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาเหลือเกิน แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรารักที่จะเลี้ยงสุนัขเพื่อให้เป็นเพื่อนแท้ในครอบครัวสักตัว หรือเป็นสมาชิกที่มีความสำคัญต่อเรา เปรียบเสมือนเป็น 1 ในสมาชิกครอบครัวของเราแล้ว การเลี้ยงสุนัขให้ดีและสอดคล้องกับทิศทางฮวงจุ้ย ก็จะส่งผลกระทบในเชิงบวกให้แก่คุณและครอบครัวได้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
นอกเหนือไปจากหลักการกว้างๆที่เกริ่นให้ท่านผู้อ่านที่รักทราบไปบ้างแล้ว ก็พอมีเกล็ดความรู้น่าสนใจบางประการ กล่าวคือ บางท่านบอกว่าต้องการเลี้ยงสุนัขให้เฝ้าบ้าน กันขโมย แต่สุนัขเจ้ากรรมกลับเรียบร้อยเหลือเกิน เห่าไม่เป็น เรื่องนี้แก้ไขไม่ยาก ท่านต้องนำสุนัขตัวนั้นไปเลี้ยงไว้ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตรงองศาที่ 112.5 ํ - 122.5 ํ สุนัขตัวนั้นก็จะมีนิสัยดุขึ้นมาทันที
สุดท้ายสำหรับแฟนฮวงจุ้ยที่รัก ถ้าหากเกิดกรณีสุนัขตัวโปรดของท่านตาย หรือเสียชีวิตลง บางท่านต้องการหาที่ฝังศพไว้ภายในบ้าน และต้องการกำหนดที่ฝังเพื่อให้สุนัขตัวโปรดนอนหลับสนิทไปอย่างสงบ ก็สามารถทำได้ แต่ขออนุญาตไม่อธิบายในรายละเอียดในคอลัมน์นี้ เพราะอาจจะดู over ไปสำหรับผู้ที่ไม่ชอบสุนัข ดังนั้น หากแฟนคอลัมน์ท่านใดต้องการเคล็ดลับตรงจุดนี้ ก็ขออนุญาตให้ปรึกษาเป็นรายบุคคลก็แล้วกัน

ก่อนจะอำลากันไปในฉบับนี้ ขอฝากคำคมสำหรับแฟนๆ ประจำคอลัมน์ไว้ว่า
" ไม่สำคัญว่ามีทรัพย์มากหรือน้อย แต่ที่สำคัญคือต้องใช้ให้น้อยต่างหาก ชีวิตจึงจะมีเหลือมากกว่าขาด "
ด้วยความคารวะ
หลันฮัว

หมายเหตุ หากท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่านสามารถนำความรู้ ที่ผู้เขียนได้เผยแพร่ผ่านคอมลัมน์นี้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตบ้าง ผู้เขียนก็ขอเทอดทูนคุณความดีนั้น ให้แก่ ท่านอาจารย์ตั้งกวงจือและคณาจารย์ทั้งหลายที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ผู้เขียนมาโดยตลอด

ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม




มะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยท่านผู้อ่านคงจะได้ยินข่าวเพื่อนหรือญาติเป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้นคุณสุภาพสตรี หรือคุณสุภาพบุรุษควรมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมไว้บ้าง โรคนี้สามารถเป็นกับคุณสุภาพบุรุษได้ครับ
มะเร็งคืออะไร
ร่างกายประกอบด้วยเซลล์เป็นจำนวนมาก ปกติเซลล์จะแบ่งตัวตามความต้องการของร่างกาย เช่น มีการผลิตเม็ดเลือดแดงเพิ่มเมื่อมีการเสียเลือด มีการผลิตเม็ดเลือดข้าวเพิ่มเมื่อมีการติดเชื้อ เป็นต้น แต่มีเซลล์ที่แบ่งตัวโดยที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ทำให้เกิดเป็นเนื้องอก Tumor ซึ่งแบ่งเป็น Benign และ Malignant
Benign tumor
คือเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งสามตัดออกได้และไม่กลับเป็นซ้ำ ไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น fibroadenoma, cyst, fibrocystic disease
Malignant tumor
เซลล์จะแบ่งตัวทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียง ที่สำคัญสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นที่อยู่ไกลโดยไปตามกระแสเลือด และน้ำเหลืองเรียกว่า Metastasis
โครงสร้างของเต้านม

เต้านมประกอบด้วยต่อมน้ำนมประมาณ 15-20 lobe ภายใน lobe ประกอบด้วย lobules และมีถุง bulbs ติดอยู่กับท่อน้ำนมซึ่งจะไปเปิดยังหัวนม nipple ภายในเต้านมยังมีหลอดเลือดและน้ำเหลือง [lymph] ซึ่งจะไปรวมกันยังต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้[axillary lymph node]
มะเร็งที่พบมากเกิดในท่อน้ำนมเรียก ductal carcinoma เมื่อมะเร็งแพร่กระจายมักไปตามต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และอาจไปยังกระดูก ตับ ปอด โดยไปทางหลอดเลือด
หากคลำเต้านมตัวเองจะรู้สึกอย่างไร
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นว่าเต้านมจะประกอบด้วยต่อมน้ำนม 15-20 lobesดังนั้นเมื่อเราคลำก็จะได้ต่อมน้ำนม นอกจากนั้นลักษณะเต้านมก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตาม อายุ ระหว่างรอบเดือน การตั้งครรภ์ การให้นมบุตร การใช้ยาคุมกำเนิด วัยหมดประจำเดือน ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะทำให้ลักษณะเต้านมมีการเปลี่ยนแปลง ท่านต้องคลำจนเกิดความคุ้นเคยว่าอะไรคือปกติ อะไรคือผิดปกติ
จะรูได้อย่างไรว่ามีก้อนที่เต้านม
หากท่านคลำเต้านมเป็นประจำ ท่านจะทราบได้ว่าเต้านมที่ท่านคลำได้ผิดปกติหรือไม่ เพราะหากก่อนหน้านี้ยังคลำไม่ได้แต่เพิ่งคลำก้อนได้แสดงว่ามีก้อนที่เต้านม
หากคลำได้ก้อนที่เต้านมควรปรึกษาแพทย์แผนกใด
ท่านอาจจะปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านหรือแพทย์แผนกผ่าตัดหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมะเร็ง ซึ่งจะต้องนำชิ้นเนื้อไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง
โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม (Risk Factors)
การค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก
การค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรกเป็นวิธีที่ทำให้การรักษาได้ผลดี คุณสุภาพสตรีมีส่วนร่วมในการค้นหาดังนี้
ตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรจะตรวจอย่างน้อยเดือนละครั้งระยะเวลาเหมาะสมที่จะตรวจคือหลังหมดประจำเดือน
ตรวจเต้านมโดยแพทย์ ควรตรวจตั้งแต่อายู 20 -39 ปี ขึ้นไปโดยตรวจทุก 3 ปี ส่วนผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีควรตรวจด้วยแพทย์ทุกปี
ตรวจเต้านมโดย Mammographyซึ่งสามารถตรวจพบก่อนเกิดก้อนได้ 2 ปี
การตรวจ mammography เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก แนะนำให้ตรวจทุก1-2 ปีสำหรับผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี สำหรับคุณผู้หญิงที่อายุน้อยกว่านี้หรือมีปัจจัยเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์ว่าจะตรวจบ่อยแค่ไหน ผู้ที่ตรวจเต้านมด้วยตัวเองต้องคำนึงถึงเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงขนาด และความตึงตามสภาวะรอบเดือน การตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน และการกินยาคุมกำเนิด แม้ว่าจะตรวจเต้านมด้วยตัวเองควรที่จะได้รับการตรวจด้วยแพทย์หรือ mammography
อาการของมะเร็งเต้านม
มะเร็งในระยะเริ่มต้นจะไม่มีอาการเจ็บหรือปวด เมื่อก้อนโตขึ้นจะทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
คลำพบก้อนที่เต้านมหรือใต้รักแร้
มีการเปลี่ยนแปลงของขนาดเต้านม
มีน้ำไหลออกจากหัวนม หรือเจ็บ หัวนมถูกดึงรั้งเข้าในเต้านม
ผิวที่เต้านมจะมีลักษณะเหมือนเปลือกส้ม
หากพบอาการดังกล่าวควรรีบปรึกษาแพทย์ แม้ว่าอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่มะเร็ง
การวินิจฉัยก้อนที่เต้านม
การวินิจฉัยหาสาเหตุของก้อน แพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับก้อน ประวัติครอบครัว ประวัติสุขภาพทั่วไปหลังจากนั้นแพทย์จะตรวจ
Palpation แพทย์จะคลำขนาดของก้อน ลักษณะของก้อนแข็งหรือนิ่ม ผิวขรุขระหรือเลียบ ขยับเคลื่อนไหวได้หรือไม่ ต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้โตหรือไม่
Mammography เป็นข้อมูลเพื่อช่วยในการวินิจฉัย
Ultrasonography เพื่อแยกว่าก้อนนั้นเป็นของแข็งหรือของเหลว
จากข้อมูลดังกล่าวแพทย์จะตัดสินใจว่าจะวางแผนการรักษา แพทย์บางท่านอาจจะทำการตรวจเพิ่มโดยการตรวจ
Aspiration ใช้เข็มเจาะดูดเอาน้ำออกและส่งหาเซลล์มะเร็งในกรณีที่ก้อนนั้นเป็นของเหลว
Needle biopsy การใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อส่งพยาธิวิทยาเพื่อหาเซลล์มะเร็ง
Surgical biopsy เป็นการผ่าตัดเอาก้อนออก และส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
เมื่อแพทย์ตัดสินใจจะผ่าตัดชิ้นเนื้อออกคุณสุภาพสตรีควรจะถามแพทย์ดังนี้
คาดว่าผลชิ้นเนื้อเป็นอย่างไร
ผ่าตัดนานแค่ไหน ใช้ยาสลบหรือไม่ เจ็บหรือไม่
เมื่อไรจะทราบผลชิ้นเนื้อ
ถ้าผลเป็นมะเร็งจะรักษากับใครดี
หากผลชิ้นเนื้อนั้นไม่ใช่เนื้อร้าย
โรคที่เป็นสาเหตุของก้อนที่เต้านมชนิดที่ไม่ใช่มะเร็งที่พบบ่อยๆได้แก่
Fibrocystic change เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดไม่เป็นมะเร็ง ก้อนนี้เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนทำให้มีถุงน้ำ มักจะมีอาการปวดบริเวณก้อนก่อนมีประจำเดือน มักจะเป็นตอนอายุ 30-50 ปีมักจะเป็นสองข้างของเต้านม มีหลายขนาด ตำแหน่งที่พบคือบริเวณรักแร้ ก้อนนี้ขยับไปมาได้ เมื่อวัยทองก้อนนี้จะหายไป หากเป็นโรคนี้ไม่ต้องรักษา
Fibroadenomas มักจะเกิดในช่วงอายุ 20-40 ปีไม่ปวด ก้อนเคลื่อนไปมา การรักษาผ่าเอาออก
Traumatic fat necrosis เกิดจากการที่เต้านมได้รับการกระแทกและมีเลือดออกในเต้านม มักเกิดในคนที่มีเต้าโต บางครั้งผู้ป่วยอาจจะไม่รู้ตัว ไขมันเกิดการอักเสบรวมกันเป็นก้อนซึ่งอาจจะปวดหรือไม่ก็ได้
ก้อนทั้งหมดจะไม่กลายเป็นมะเร็ง
จะทำอย่างไรเมื่อผลชิ้นเนื้อเป็นมะเร็ง
พยาธิแพทย์จะบอกผลชิ้นเนื้อว่ามะเร็งนั้นอยู่เฉพาะที่ยังไม่แพร่กระจาย [ non invasive ] หรือลุกลาม [ invasive] อาจมีการส่งตรวจพิเศษ โดยการทำ hormone receptor test เพื่อช่วยวางแผนการรักษา
หลังจากทราบผลชิ้นเนื้อว่าเป็นมะเร็งยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์ที่จะปรึกษาแพทย์ถึงแผนการรักษา ท่านควรถามบางคำถามกับแพทย์ของท่าน
ผลชิ้นเนื้อเป็นชนิดไหน และเป็นระยะไหน
จะให้พยาธิแพทย์อ่านซ้ำจะได้หรือไม่เพราะอะไร
โอกาสที่มะเร็งจะแพร่กระจายมีมากหรือไม่
ได้ตรวจ progesterone receptor หรือไม่ผลเป็นอย่างไร
จะต้องตรวจอย่างอื่นอีกหรือไม่
จะใช้วิธีไหนรักษา
ข้อดีของการรักษาแต่ละอย่าง
ปัจจัยเสี่ยง และผลข้างเคียงของกางรักษาแต่ละอย่าง
มีการรักษาหรือทดลองใหม่ๆที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยหรือไม่
วิธีการรักษา
สมัยก่อนจะทำการรักษาโดยการตัดชิ้นเนื้อตรวจดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่หากเป็นมะเร็งก็ตัดเต้านมออก เพราะเชื่อว่าการรอเวลาจะทำให้มะเร็งแพร่กระจาย แต่จากการศึกษาพบว่าการรักษาที่เหมาะสมจะทำ 2 ขั้นตอนโดยการตัดชิ้นเนือออกไปตรวจเป็นบางส่วนหากผลออกมาเป็นมะเร็งจึงค่อยนัดมาผ่าตัดเต้านมออก
การผ่าตัด
ท่านควรดูแลตัวอย่างไรบ้างหากเกิด Lymphedema
ยกของหรือกระเป๋าด้วยแขนอีกข้าง
ระวังผิวไหม้จากแดดเผา
เจาะเลือด วัดความดันโลหิต หรือให้เคมีบำบัด ที่แขนอีกข้าง
ห้ามโกนขนรักแร้ ระวังเกิดแผล
ถ้าเกิดบาดแผลให้รีบล้างและใส่ยาปฏิชีวนะแล้วรีบปรึกษาแพทย์
ให้สวมถุงมือเวลาทำสวนหรือสัมผัสสารเคมีที่ระคายเคือง
ห้ามใส่เครื่องประดับแขนข้างขั้น
ก่อนการผ่าตัดควรถามแพทย์ผู้รักษาดังต่อไปนี้
จะผ่าตัดชนิดไหน
จะเตรียมตัวผ่าตัดอย่างไร
จะตัดเต้านมบางส่วนร่วมกับรังสีรักษาได้หรือไม่
ต้องตัดต่อมน้ำเหลืองด้วยหรือไม่
จะมีแผลเป็นหรือไม่ แผลน่าเกลียดหรือไม่
ถ้าจะทำศัลยกรรมตกแต่งจะทำได้หรือไม่
จะออกกำลังกายได้หรือไม่
Radiation therapy ใช้รังสีเพื่อฆ่าหรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไปให้ 5 วันต่อสัปดาห์ติดต่อกัน 5-6 สัปดาห์ บางครั้งอาจให้รังสีรักษา เคมีบำบัด หรือให้ฮอร์โมนก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง ง่ายต่อการผ่าตัด
ก่อนรับการรักษาด้วยรังสีรักษาคุณควรรู้อะไรบ้าง
จำเป็นต้องให้รังสีรักษาหรือไม่
ปัจจัยเสี่ยงหรือผลข้างเคียงของการรักษา
จะเริ่มรักษา และสิ้นสุดเมื่อไร
จะมีสภาพอย่างไรขณะรักษา
จะดูแลตัวเองอย่างไรขณะรักษา
สภาพเต้านมจะเป็นอย่างไร
โอกาสจะเป็นมะเร็งอีกครั้งมีหรือไม่
Chemotherapy เคมีบำบัด ใช้ยาฆ่ามะเร็งอาจเป็นยาฉีดหรือยากิน มักจะให้ระยะหนึ่งแล้วหยุดจุดประสงค์ของการให้คือ
เพื่อป้องกันมะเร็งกลับเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด
ลดขนาดของก้อนมะเร็งก่อนผ่าตัด
เพื่อควบคุมโรคในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่น
Hormone therapy ให้ฮอร์โมนเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งจะใช้ในรายที่ให้ผลบวกต่อ estrogen หรือ progesterone receptor
การเลือกวิธีรักษา
การเลือกการรักษาขึ้นกับปัจจัยต่างๆดังนี้
อายุ
ภาวะประจำเดือน
สุขภาพทั่วไป
ขนาด
ตำแหน่งของก้อน
มะเร็งอยู่ในขั้นไหน
การแบ่งความรุนแรงของมะเร็งเต้านม
ผลข้างเคียงของการรักษา
การผ่าตัด
เจ็บบริเวณที่ผ่าตัด
อาจมีการติดเชื้อ หรือแผลหายช้า
การตัดเต้านมไปข้างหนึ่งอาจทำให้เสียสมดุลทำให้ปวดหลัง คอ
จะรู้สึกตึงๆหน้าอก แขนข้างที่ผ่าตัดจะมีแรงน้อยลง
มีอาการชาแขนข้างที่ผ่าตัด
บวมแขนข้างที่ผ่าตัด
รังสีรักษา
อ่อนเพลีย
ผิวหนังแห้ง แดง เจ็บ คัน
ก่อนใช้เครื่องสำอางควรปรึกษาแพทย์
เคมีบำบัด
ซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำทำให้เหนื่อยง่าย ติดเชื้อง่าย และเลือดออกง่าย
ผมร่วง
เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
เป็นหมัน
ฮอร์โมน
ยาจะยับยังไม่ให้ร่างกายใช้ฮอร์โมนแต่ไม่ยับยังการสร้างฮอร์โมนดังนั้นผู้ป่วยจะมีอาการ วูบวาบ ตั้งครรภ์ง่าย คันช่องคลอด น้ำหนักเพิ่ม ตกขาวควรตรวจภายในทุกปีและรายงานแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
การฟื้นฟูสภาพหลังการผ่าตัด
การคืนสู่สภาพปกติของร่างกายหลังผ่าตัดขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดของการผ่าตัด และสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย ควรทำกายภาพทันทีหลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันข้อหัวไหล่ติดยึดและเพื่อเพิ่มกำลังให้กับแขน สำหรับผู้ป่วยที่แขนบวมหลังผ่าตัดแนะนำให้ยกแขนไว้บนหมอนเวลานอน
มาป้องกันมะเร็งเต้านม
ยังไม่มีวิธีแน่นอนในการป้องกันมะเร็ง คุณสามารถป้องกันมะเร็งด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นสมาคมมะเร็งของอเมริกาแนะนำวิธีป้องกันมะเร็งเต้านมดังนี้
เปลี่ยนแปลงอาหาร เช่น ลดอาหารเนื้อแดง ลดอาหารมัน งดเกลือ
เลือกรับประทานอาหารพวก ผักและผลไม้
ควบคุมน้ำหนักมิให้อ้วน ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4 ชั่วโมงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้
งดเว้นการสูบบุหรี่ และ แอลกอฮอล์
ให้เตรียมอาหารและเก็บอาหารอย่างปลอดภัย

เปิดเมนูอาหารต้านโรคมะเร็ง


ถึงแม้ว่าการรักษาพยาบาลในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้า สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีตมากเพียงใดก็ตาม แต่คงไม่มีใครอยากจะเจ็บป่วยแล้วค่อยไปรักษาตอนหลังเป็นแน่ โดยเฉพาะป่วยเป็นมะเร็ง
ดังนั้น ถ้าจะมีวิธีใดจะป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยได้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด จากการศึกษาวิจัยเป็นเวลานานทำให้เรารู้ว่า สาเหตุของการเจ็บป่วยส่วนใหญ่มาจากการบริโภคอาหารและมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ซึ่งถ้าประชาชนมีความรู้และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม แล้วโอกาสที่จะเจ็บป่วยก็คงจะลดน้อยลงกว่านี้มาก รวมทั้งการเกิดโรคมะเร็งด้วย
เพื่อให้ห่างไกลมะเร็งและส่งเสริมสุขภาพ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ ดร.สุภัจฉรา นพจินดาสำนักงานวิจัยคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นำมาบอกกล่าวเผยแพร่เป็นวิทยาทาน

1.ผัก ผักมีกากใยปริมาณมาก ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ได้แก่ ผักมีสี เช่น บีตรูต ผักโขม แครอต มะเขือเทศ ยิ่งมีสีเข้มมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (phytochemical) มากขึ้นเท่านั้น

2.ปลาน้ำเย็น ได้แก่ ปลาที่อาศัยอยู่ในเขตหนาวของโลก ในน้ำจะมีอุณหภูมิต่ำ เช่น ปลาแซลมอน ปลาคอท ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาทูและปลาจากทะเลน้ำลึก ปลาเหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน

3.ถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านเอนไซม์โปรตีเอสในบริมาณสูง (มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต (กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาดจะขายในรูปของ IP-6) และจีเนสเตอิน(ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง) นอกจากนี้ ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ

4.เมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวโอต บาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง

5.สาหร่ายทะเล ประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆ ออกจากลำไส้ นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล

6.ผลไม้ประเภทเบอร์รี่ เช่น ราสเบอรี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ เบอร์รี่สีดำ ในผลไม้เบอร์รี่เหล่านี้จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย

7.โยเกิร์ต เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียที่เป็นชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แลคโตเบซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน และเนื่องจากกว่า 80% ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร ดังนั้น โยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกาย ในการป้องกันการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย

8.ชาเขียว ประกอบด้วย สารคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิด จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่า ชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้

หมายเหตุ การดื่มชาเขียวให้ได้รับประโยชน์เต็มที่นั้น ต้องดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จ เนื่องจากถ้าทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้สูญเสียคุณค่าไป

9.เครื่องเทศต่างๆ เช่น มาสตาร์ด พริก พริกไทย กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆ ที่ใช้ปรุงแต่งรส สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้

10.น้ำสะอาด ปริมาณ 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ เนื่องจากน้ำนั้นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆ ของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง การทำความสะอาด การขจัดสิ่งสกปรก และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ ตลอดจนนำของเสียหรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย

หากใครสนใจเรื่องอาหารต้านมะเร็งสามารถเข้าฟังงานที่ภาควิชาพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จัดการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน เรื่อง"อาหารเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและต้านมะเร็ง วันที่ 21 มกราคม 2552 เวลา 08.30-12.00 น. ติดต่อสอบถามประชาสัมพันธ์ศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ ประชาสัมพันธ์อาคาร 1โทร. 0-2201-2355 หรือ 0-2201-2520, 0-2201-1809, 0-2201-1091-3




ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการเรียนเก่ง7 ข้อ

ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติจึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ * สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic. ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่าการบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3 เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่างหากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครู เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเองเวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้นเพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกาก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วเครดิต ; หนังสือของคุณหนูดี เราย่อออกมาเหลือแค่นี้แหล่ะ ส่วนหนังสือของคุณหนูดีเล่มใหม่ Speed Reading ไว้เราอ่านแล้วจะเอามาลงให้นะ

ที่มา www.dek-d.com

ไขปริศนา"ไข้หวัดหมูสายพันธุ์เม็กซิโก"


ขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าทั่วโลกกำลังอกสั่นขวัญหายกำลังไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ หรือไข้หวัดหมูเม็กซิโก ท่ามกลางความตื่นตัวและใคร่รู้ว่า อะไรคือไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้ มีคำตอบจากการรวบรวบข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศที่กำลังเกาะติดสถานการณ์ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่อยู่ในขณะนี้ รายงานระบุว่า ปกติแล้วไข้หวัดหมูถือเป็นโรคติดต่อทางระบบทางหายใจ ประเภทไข้หวัดสายพันธุ์ A ที่ติดเชื้อเฉพาะในหมู ขณะที่ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการผสมพันธุกรรมระหว่างไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดมนุษย์ พัฒนาเป็นสายพันธุ์ใหม่เรียกว่าเชื้อไวรัสH1N1 โดยมีหมูเป็นตัวการนำพาหะ และแพร่สู่มนุษย์ โดยไวรัสดังกล่าวยังมีศักยภาพทั้งจากประเภทรับอากาศที่ปนเปื้อนไวรัสนี้ผ่านการไอและจามของผู้ติดเชื้อ หรือมือไปสัมผัสไวรัสดังกล่าวและมีการสัมผัสถึงปาก จมูก และตา โดยสามารถจากคนสู่คนได้ ขณะที่อาการของผู้ป่วยโรคนี้ ร่างกายผู้ติดเชื้อจะตัวร้อนมีอุณหภูมิสูงกว่าระดับ 38 องศาเซลเซียส มีอาการไข ปวดหัว ปวดเมื่อยข้อต่อ หายใจติดขัด หน้ามืด และไม่อยากอาหาร บางรายอาจมีอาการน้ำมูกไหล ลำคอแห้งผาก คลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วง โดยไข้หวัดหมูปกติ จะทำให้เกิดอาการปอดบวมและระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และมีอาการป่วยเรื้อรัง สำหรับยารักษาไข้หวัดหมูสายพันธุ์เม็กซิโกนั้น ยังไม่มีการพัฒนาขึ้น มีเพียงแต่วัคซีนป้องกันไข้หวัดหมูใช้สำหรับหมู ไม่ใช่สำหรับมนุษย์ แต่การรักษาปัจจุบัน ได้ใช้ยาประเภท"Tamiflu"และ"Relenza"ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพพอในการบำบัดรักษาไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่สำหรับผู้ติดเชื้อในช่วงแรก ๆ แต่ก็ยังระงับการแพร่เชื้อจากผู้ป่วยไปสู่คนอื่นได้ค่อนข้างน้อย ขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาจากยาสองประเภทนี้(ที่เป็นทางเลือกเดียวในขณะนี้)จะพัฒนาอาการไปอย่างเต็มที่ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสหวัดหมูสายพันธุ์ใหม่(เม็กซิโก)เป็นเรื่องยาก เนื่องจากปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่าได้ลุกลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะจะควบคุมได้ยากมากในกรณีผู้โดยสารเดินทางสัญจรทางอากาศ

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=balagink_deng&jucId=68895

ประโยชน์ใกล้ตัว พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน

ที่จริงแล้วผักสวนครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น โหระพา ขิง ข่า ตะไคร้ หรือใบสระแหน่ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาของความเป็นสมุนไพรไทยที่ใครได้ยินแล้วจะต้องบอกว่า สุดยอด เสมอ ว่าแล้ววันนี้ก็เลยอยากให้คุณๆ ได้รู้จักกับประโยชน์ของพืชผักสวนครัวเหล่านี้กันสมัยเด็กมักจะโดนคุณแม่ใช้ให้ไปเก็บพืชผักสวนครัวหลังบ้านบ่อยๆ บ้านหลังเล็กๆ ของเรามีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับปลูกผักสวนครัวไว้ปรุงอาหารกินเอง แต่หลังจากย้ายตัวเองมาฝังตัวอยู่ที่เมืองหลวง ก็มได้มีพืชผักสวนครัวส่วนตัวไว้กินอีกเลย
โหระพา โหระพาเป็นผักที่มีกลิ่นแรงบางคนบอกว่าหอม บางคนว่าฉุน แต่ไม่ว่าจะหอมหรือฉุน โหระพาก็เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารไทยมานานนม รวมทั้งมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่เราเคยรู้จักเยอะเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าโหระพาจะเป็นผักชูรส และอยู่ในอาหารอย่างแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน เป็นต้นสารอาหารโหระพาที่ใครบางคนว่าฉุน ที่จริงแล้วเป็นผักที่มีสารอาหารด้วยนะ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันสรรพคุณทางยาคุณสมบัติทางยาของโหระพาท่ฃี่สุดยอดมากๆ ก็คือ ช่วยย่อยอาหารแก้การจุกเสียด แน่นท้อง เพราะสามารถช่วยขับลมในลำไส้ได้ แต่สำหรับคนที่เกลียดโหระพาเข้าไส้ คุณอาจจะแอบปลื้มที่ได้รู้ว่าผักสวนครัวอย่างโหระพาไม่ได้มีดีแค่ใบ แต่เมล็ดยังสามารถนำมาแช่น้ำให้พองรับประทานเป็นยาแก้บิดได้ด้วยทราบหรือไม่
•โหระพารักษาโรคเข่าเสื่อมได้ ตำราแพทย์ระบุว่าให้นำต้น ใบและรากโหระพามาตำพอละเอียด ใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งไปแค่พอร้อน ทิ้งไว้ให้อุ่น จากนั้ก็นำไปพอกเข่าประมาณ 10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แล้วอาการจะค่อยทุเลาลง
•โบราณว่าโหระพาเป็นยาบำรุงทางเพศด้วยนะ



ขิง ขิงเป็นเครื่องเคียงอย่างหนึ่งในเมนูอาหารไทย แต่หลายคนส่ายหน้าเวลาเห็นขิง ส่วนหนึ่งก็เพราะกลิ่นแรงเหลือกำลัง ดังนั้นจึงเลี่ยงด้วยการเขี่ยขิงทิ้งไว้ข้างๆ จาน แต่ต่อไปนี้ถ้าอยากได้ประโยชน์มากมายจากอาหารการกิน ลองชิมขิงดูสักครั้งสารอาหารขิงประกอบไปด้วยสารอาหารสำคัญคือ โปรตีน คาร์ดบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอสรรพคุณทางยาประโยชน์อย่างหนึ่งที่เราจะได้จากการใช้เหง้าขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง แล้วชงน้ำดื่มก็คือ แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด และแน่นเฟ้อนอกจากนี้ขิงยังมีประโยชน์ทุกส่วน ตั้งแต่ราก – ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ และแก้บิดต้น – ช่วยขับให้ผายลม แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วงผล – แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะใบ – แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ ดอก – ช่วยย่อยอาหาร แก้ปัสสาวะขัด แก้โรคประสาทที่ทำให้ใจขุ่นมั่วทราบหรือไม่
•ขิงแก้ผมร่วง ตำราระบุว่า ให้ใช้เหง้าขิงสดมาผิงไฟพออุ่น จากนั้นให้ตำแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีผมร่วง ทำแบบนี้ประมาณ 3 วัน วันละ 2 ครั้ง ถ้ายังไม่ได้ผลให้ทำต่อไป
•ขิงกำจัดกลิ่นกาย ถ้ารักษากลิ่นเหงื่อใต้วงแขนมาหลากหลายวิธีแล้วแต่ยังช่วยไม่ได้ ลองใช้เหง้าขิงแก่ โดยทุบแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาทาใต้วงแขนทุกวัน จะช่วยกำจัดกลิ่นกายได้ชะงัด
•ขิงแก้ปากเหม็น โดยให้คั้นน้ำขิงผสมน้ำอุ่น เติมเกลือเล็กน้อย แล้วกลั้วปาก ฆ่าเชื่อโรค


ข่า ถ้าหยิบขึ้นมาเคี้ยวกันสดๆ ก็คงจะไม่ปลื้มนัก ข่าเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องเทศที่ใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเอร็ดอร่อยกับเมนูโปรดอย่างต้มข่าไก่กันนัก แต่หน่อข่าอ่อนสามารถเป็นเครื่องเคียงแสนอร่อยในเมนูน้ำพริกแบบไทยๆ ได้ด้วยนะสารอาหารสารอาหารที่จะได้จากข่าคือ คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม สฃวิตามินซีสรรพคุณทางยาประโยชน์จากคุณสมบัติทางยาของข่า ให้ใช้เหง้าสดดำดให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส แล้วรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว จะช่วยขับลมแก้มฃท้องอืด ท้องเฟ้อท้องเดิน และบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ทราบหรือไม่ว่า
•ประโยชน์อื่นๆ ที่ได้จากข่านอกเหนือจากการรับประทานอาหาร ได้แก่ ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนและแก้ลมพิษ โดยใช้เหง้าสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะดีขึ้น
•ใช้ข่าไล่แมลงได้ด้วย โดยนำเหง้ามาทุบหรือตำให้ละเอียด เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แมลงก็จะไม่กล้ามาแหยมอีกแล้ว

ครอบครัวหนุกหนาน



คุณพ่อสุดหล่อคร๊าบ..
ชื่อนายวิชัย ชาปาน
เกิดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ อายุ 45 ปี
นิสัย ใจดี พูดน้อย แต่ต่อยหนักคะ
(โดนด่าแต่หล่ะทีน้ำตาซึมเลยแหละ..คริ คริ)



คุงพ่อกะนู๋เบลจ้า..(เด็กข้างบ้าน)



คุงแม่สุดสวยจ้า..

ชื่อนางเดือนเพ็ญ ชาปาน

เกิดวันที่ 15 มกราคม

อายุ 39 ปี

นิสัย ขี้งก ขี้บ่น ขี้อาย ขี้งอน

(อิอิ ..จะปาบมั๊ยเนี๊ย แต่นู๋ก็รักแม่นะ)



คุณแม่สุดสวย+เอ้เองคร้า+คุณพ่อสุดหล่อ

คุณยายกะคุณตา

(ไอ้เด็กตรงกลางไม่เกี่ยวจ้า)

กิจกรรมครอบครัวจ้า

10 วิธีลดโลกร้อน




ภาวะโลกร้อนที่กำลังส่งผลกระทบรุนแรง คุณสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้ง่ายๆ ด้วย 10 วิธีต่อไปนี้

1. เปลี่ยนหลอดไฟ การเปลี่ยนหลอดไปจากหลอดไส้เป็นหลอดประหยัดไฟหนึ่งดวง จะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 150 ปอนด์ต่อปี

2. ขับรถให้น้อยลง หากเป็นระยะทางใกล้ๆ สามารถเดินหรือขี่จักรยานแทนได้ การขับรถยนตร์เป็นระยะทาง 1 ไมล์จะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ 1 ปอนด์

3. รีไซเคิลของใช้ ลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งนึงจะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2400 ปอนด์ต่อปี

4. เช็คลมยางการขับรถโดยที่ยางมีลมน้อย อาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติ น้ำมันๆทุกๆแกลลอนที่ประหยัดได้ จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 20 ปอนด์

5. ใช้น้ำร้อนให้น้อยลงในการทำน้ำร้อน ใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง จะลด คาร์บอนไดออกไซด ์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็น จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 500 ปอนด์

6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะ เพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 1200 ปอนด์ต่อปี

7. ปรับอุณหภูมิห้องของคุณ(สำหรับเมืองนอก) ในฤดูหนาว ปรับอุณหภูมิของ heater ให้ต่ำลง 2 องศา และในฤดูร้อน ปรับให้สูงขึ้น 2 องศา จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 2000 ปอนด์ต่อปี

8. ปลูกต้นไม้ การ ปลูกต้นไม้ หนึ่งต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมัน

9. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับพันปอนด์ต่อปี และอย่างสุดท้าย
10. บอกเพื่อนๆของคุณเกี่ยวกับวิธีเหล่านี้ค่ะ



ที่มา : http://www.world-hot.th.gs/













งานอดิเรก กะการแต่งกลอน

“ กลอนซึ้งๆ “

มีคำพูดมากมายที่อยากบอก
แต่มันกับพูดไม่ออกทุกครั้งที่เจอหน้า
ทำได้แค่เพียง.........หลบสายตา.......
แกล้งทำเป็นว่า ~~~ ไม่มีอะไร ~~~

อย่าห่วงฉันว่าฉํนจะเป็นยังงัย
ไม่ต้องสนใจหรือทำดีกับฉัน..........
ถ้าเธอจะไปก็ไม่ต้องมีเยื่อใยให้กัน
เพราะมันจะทำให้ฉันยิ่ง ‘ รักเธอ ’

อยู่ๆน้ำตามันก็ออยากจะไหล
เมื่อนึกถึงเธอคนที่อยู่ห่างกันไกลในตอนนี้
เธอจะเป็นเหมือนฉันไหมที่เฝ้ารอทุกวินาที
เพื่อจะพบเจอเธอคนดีที่ฉันเฝ้ารอ

คำบางคำแม้ไม่ได้พูดออกมา
ฉันก็รับรู้ได้จากความเย็นชาที่เธอมอบให้
ถึงไม่พูดไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ
ฉันก็เข้าใจจากการกระทำที่เธอแสดง



อย่าจบกันด้วยคำพูดง่ายๆเหล่านี้
มันน้อยไปสำหรับความรักที่ฉํนมีให้
ถึงพูดอีกร้อยครั้งฉันก็ยังมีเธอเต็มหัวใจ
ไม่ว่าจะทำให้ฉันเจ็บสักเท่าไหร่สิ่งเดียวที่ทำได้
คือ “ รักเธอ”

เจ็บมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
โดยเธอทำร้ายใจมากี่หน
อย่าถามว่าทำไมฉันยังทน
เพราะเธอน่าจะรู้ว่าเหตุผลมันคืออะไร

ประวัติส่วนตัว



ชื่อนางสาวอารยา ( ได้มาจากพระท่านตั้งให้แปลว่าความเจริญรุ่งเรือง)

นามสกุล ชาปาน (ได้มาจากคุณพ่อจ้า)

ชื่อเล่น เอ้ (อันนี้คุณแม่ตั้งให้ตามชื่อเล่นนางสาวไทย)

เกิด วัน พุธ ที่ 8 มีนาคม 2532 (ตรงกับวันสตรีสากลด้วยนะคร๊า)

เวลา 09.30 น. (ยายเล่าให้ฟังว่าคลอดยากมั๊กมาก..คุณแม่เกือบตายเพราะไม่ยอมออก ปีนขึ้นหน้าอกแม่อย่างเดียว จนต้องให้พยาบาลมานั่งทับถึงยอมออกมาลืมตาดูโลก)

วีรกรรม
ตั้งแต่เกิดทุกคนให้ความคิดเห็นว่าเลี้ยงง่าย กินง่าย นอนง่าย และเกือบตายมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ตกน้ำ รถเฉี่ยว ตกแปล ตกบ้าน ร้ายแรงที่สุดคือไฟช๊อต แต่ก้อลอกตายมาได้ (ดวงคงแข๊งเนอะ..ว่ามั๊ย) จนถึงปัจจุบัน

นิสัย
ขี้อาย ไม่ค่อยพูดแต่ถ้าสนิทแล้วก้อจะเป็นคนพูดเก่งมาก ขี้แง ขี้งอน ขี้ใจน้อย ขี้รำคาญ เอาแต่ใจ (ไม่รุมีดีตรงไหน..อิอิ)
เป็นลูกคนเดียวในบ้าน หลานสาวคนเดียวของบรรดาญาติๆ จึงติดนิสัยเอาแต่ใจ..นิสนึง

ปัจจุบันก้อกำลังศึกษาระดับ ป.ตรี
ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (เลือกเรียนที่นี่เพราะไกลบ้านและติดโควต้า)
คณะวิทยาศาสตร์ (เรียนเพราะแม่อยากให้เรียน จิงๆแล้วอยากเรียนเกี่ยวกับการออกแบบ )
เอกชีววิทยา (เป็นวิชาที่ไม่ถนัดเลย ไม่รู้เรื่องเลยก็ว่าได้ จึงเลือกเรียนวิชานี้เผื่อจะเข้าใจขึ้นบ้าง)
ปี 2 เด่วก้อจะขึ้นปี 3 แล้ว (ดีใจมมากกกก...กว่าจะผ่านมาได้)

บ้านเกิดอยุ่ที่ จ.เลย อ.เชียงคาน ต.นาซ่าว ม.3 บ้านเลขที่ 50/1

ปัจจุบันพักอยุ่ที่ หอพักโชคอนันต์

งานอดิเรกก็ วาดรูป แต่งกลอน อ่านหนังสือ ดูทีวี ฟังเพลง ถักเนตติง ปักคอร์สติส

ข้อมูลอื่นๆ..ก้ออยุ่ในบล็อกถัดๆไปนะคะ........

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีการสมัคร Blogger.com

ขั้นตอนการสมัคร Blogger

1.เข้าไปในเวปไซด์ Blogger.com
2.ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Gmail ของเวป Google.com ในช่องวงกลมสีแดงหมายเลข 1


3.เข้ามาสู่หน้าถัดไปให้คลิก ตรง สร้างบล็อกของคุณทันที ในช่องวงกลมสีแดงหมายเลข 1



4.ตั้งชื่อเวปบล็อกได้ตามใจชอบเป็นภาษาไรก็ได้ พร้อม URL เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อเสร็จแล้วให้คลิกตรง ดำเนินการต่อ ในช่องวงกลมสีแดงหมายเลข 1


5.เมื่อเข้ามาหน้าถัดไปให้คลิกเลือกแม่แบบของบล็อกตามความพอใจของผู้สร้างถ้าเสร็จแล้วให้คลิก ตรงดำเนินการต่อในวงกลมสีแดงหมายเลข 1




6.การสมัคร Blogger ที่เป็นอันเรียบร้อย พร้อมกับการเริ่มต้นการเขียนบล็อกในขั้นต่อๆ ไป


วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ


แก่งคุดคู้




ความเป็นมา

ทำไม ถึงเรียกว่า “แก่งคุดคู้” ชื่อนี้มีตำนานที่เล่าต่อกันมา ตำนานของแก่งคุ้ดคู้จะมีเรื่องเล่าที่คล้ายๆกัน นานมาแล้วมีพรานชาวลาวคนหนึ่ง ชื่อ “จึงขึ่งดังแดง” อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงขึ่งดังแดงเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่โตมาก และมีความสามารถในการล่าสัตว์ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ วันหนึ่งจึงขึ่งดังแดง ได้เห็นควายเงินตัวหนึ่งกำลังกินน้ำอยู่ทางฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง จึงตั้งใจจะยิงควายเงินตัวนั้นให้ได้
ขณะที่จึงขึ่งดังแดงกำลังเล็งปืนเพื่อจะยิงควายตัวนั้นอยู่นั้น ได้มีเรือสินค้าแล่นผ่านมา ควายเงินตกใจเสียงเรือจึงได้หนีเข้าป่าไป ด้วยความโมโหจึงขึ่งดังแดงจึงได้ยิงปืนไปที่ภูเขาลูกหนึ่งเกิดหน้าผาพังทลายลงมา ต่อมาเรียกภูเขานั้นว่า ภูผาแบ่น (แบ่นภาษาลาว แปลว่า เล็ง)
จึงขึ่งดังแดง คิดว่าสาเหตุที่ทำให้ควายเงินตัวนั้นหนีไปก่อนที่เขาจะยิงมาจากเรือสินค้าที่แล่นผ่าน และยังไม่คิดที่จะหยุดล่าควายเงินตัวนั้น จึงขึ่งดังแดงคิดหาทางที่จะไม่ให้เรือแล่นผ่านโดยพยายามเอาก้อนหินใหญ่ขนมาเพื่อปิดกั้นลำน้ำไม่ให้เรือผ่าน
เทวดาองค์หนึ่งเห็นว่าถ้าจึงขึ่งดังแดงทำสำเร็จจะเกิดความเดือนร้อนวุ่นวายมาก ทั้งคนที่สัญจรผ่านลำน้ำรวมทั้งผู้คนที่อาศัยอยู่ริมน้ำโขงด้วยและสัตว์ป่าและสัตว์น้ำก็จะได้รับความเดือดร้อน
จึงได้ออกอุบายบอกให้จึงขึ่งดังแดงใช้ ไม้เฮียะ (ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง) มาทำเป็นคานหาบก้อนหินมาทีละหลายๆก้อนจะได้ไม่เสียเวลาขนหินทีละก้อน
จึงขึ่งดังแดง หลงเชื่อตามนั้นจึงได้ทำตาม แต่พอเมื่อเวลาขนหินไปนั้นคานไม้ที่ทำด้วยไม่ไผ่นั้นเกิดหักความคมจากไม้ไผ่บวกน้ำหนักของก้อนหินบาดคอของจึงขึ่งดังแดงถึงแก่ความตายอยู่ตรงนั้น ร่างของจึงขึ่งดังแดงนอ
นตายนั้นมีลักษณะนอนคุดคู้จึงได้เรียกบริเวณนี้ว่า “แก่งคุดคู้” นั่นเอง

ข้อมูลสถานที่
แก่งคุดคู้ เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ในช่วงโค้งของลำน้ำโขงพอดี ทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง ในหน้าน้ำ น้ำจะท่วมจนมองไม่เห็นแก่งๆ ตัวแก่งกว้างใหญ่เกือบจรดสองฝั่งแม่ น้ำโขงมีกระแสน้ำไหลผ่าน ไปเพียง ช่องแคบ ๆ ใกล้ฝั่งไทย เท่านั้นเองซึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกรากตรงข้ามเป็นหมู่บ้านสารคามของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้คือเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้งมองเห็นเกาะแก่งชัดเจนมีโค้งสันทรายริมแม่น้ำ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสสายน้ำโขงและธรรมชาติสองฝั่งอย่างใกล้ชิด ท่าเรือบริเวณลานจอดรถมีบริการเช่าเรือยนต์ล่องแม่น้ำโขงโดยใช้เวลาไป-กลับประมาณ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีร้านขายอาหารเช่นไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ โดยเฉพาะพล่า กุ้งเต้น ต้มยำปลาจากลำน้ำโขงเป็นอาหารแนะนำในราคาไม่แพง การเดินทางจากตัวอำเภอเชียงคานนักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถสายรอบเมืองไปแก่งคุดคู้ได้ซึ่งห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอ เชียงคานห่างจากตัวจังหวัด 51 กิโลเมตร ตามทางหลวง หมายเลข 201


http://th.upload.sanook.com/download.php?file_id=e258a9e9053f34a0adce56e3f58d4325

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

Tanida



yurisan


yuko

OLE ทุกหรือสูขอยู่ที่ใจ

cake



cake..<"

Malivan


NU_BOOMBIM


boombim

peiploy







nudoza


mrkong






chanin



toommin


GunGnuG






มะตูม



มะตูมน่ารัก

rkohttp://rcawaii.blogspot.com

suparada http://feemmily.blogspot.com


Meepooh




Page Graphics



marchmero

เรื่องดีๆในชีวิต


toonny


Sowon park .

EmpTy.NooNZa

คนของความคิดถึง


Netnapa

C H A I™ ๐ รัฐศาสตร์การฑูต

TonFern

OhMoChang


ployniiz

ชุติมา

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552

ซ่อมคอมพิวเตอร์'ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

บ่อยครั้งที่คอมพิวเตอร์มีปัญหา เช่น อาการจอมืด , ซีดีรอมไม่ทำงาน หรือฮาร์ดิสก์เสีย ถึงแม้ว่าตอน ซื้อมาจะมีการรับประกัน 2 ถีง 3 ปี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้จะไม่ได้ซื้อ คอมพ์ทุก 2-3 ปีตามระยะการ ประกัน ดั้งนั้นการซ่อมจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่นี้เรามาดูแนวทางการซ่อมคอมพ์พิวเตอร์ด้วยตนเอง

1. บันทึกทุกอย่างเก็บไว้ แม้ว่าการใช้คอมพิวเตอร์ จะทำให้สามารถที่จะทิ้งเอกสารกองโต ออกไปจากโต๊ะทำงาน ได้ก็ตาม แต่ก่อนที่ทิ้งทุกอย่างไป ควรจะทำการหาวิธีในการเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ เผื่อในกรณีที่อาจเกิดปัญหา ในอนาคต ยอมเสียเวลาสักเล็กน้อยกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ซึ่งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์บางราย ก็ให้มีการลงทะเบียนกันแบบออนไลด์ แต่อย่าลืมพิมพ์สำเนาออกมาเก็บรวมไว้กับใบเสร็จรับเงิน เก็บใบเสร็จ รับเงินและใบรับประกันทุกอย่างไว้ให้ดี โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่มีการรับประกันแยกต่างหากออกไปไม่รวมกับ ตัวเครื่อง เช่น โมเด็ม , ซีพียู , เมนบอร์ด , จอ และอื่น ๆ

2.ทำการบ้านก่อนเลือกซื้อ ตอนที่ซื้อคอมพิวเตอร์ ควรจะต้องนึกถึงการซ่อมแซมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการเลือกซื้อก็ต้องคิดอยู่เสมอว่า บางร้านรับซ่อมจะมีการคิดค่าตรวจสอบเครื่องด้วย ไม่ว่าเครื่องจะอยู่ใน ประกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนซื้อคงจะต้องทำการบ้านกันให้ดีในเรื่องของประกันที่บริษัทมีให้ ไม่ว่าจะในเรื่องประกัน การขยายระยะประกัน หรือว่าค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณประหยัดทั้งเงินและเวลาได้ในอนาคต

3.จดบันทึกอาการเสีย เมื่อคอมพ์พิวเตอร์มีอาการผิดปกติขึ้น ให้จดบันทึกอาการต่างไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Error Messages ต่างๆ ซึ่งจะมีประโยชน์และจะมีส่วนช่วยช่าง หรือผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สาเหตุเสียได้มาก ให้จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ช่างจะได้ซ่อมได้เร็วและตรงจุด โดยทั่วไปแล้ว คำถามที่ช่างหรือคนที่จะช่วยเหลือคุณมักจะถามเช่น จอภาพแสดงอาการอย่างไร หรือ Error massage ที่เกิดขึ้นคืออะไร เป็นต้น ถ้าคุณสามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อช่าง และคุณเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปรึกษากับช่างผ่านทางโทรศัพท์ แลัก่อนที่จะตัดสินใจเลือกร้านซ่อมก็ให้ตรวจระยะเวลา ประกันของคอมพิวเตอร์และบรรดาอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ให้ดี

4.สำรวจให้ทั่ว ๆ การนำเครื่อคอมพิวเตอร์ไปซ่อมกับบริษัทที่คุณซื้อมาก็ไม่ใช้ว่าจะเป็นวิธีที่ดีเสมอไป เพราะบางครั้งถ้าศึกษาให้ดี ๆ อาจพบว่า ซ่อมกับบริษัทอาจทำให้คุณต้องเสียทั้งเงินและเวลา มากกว่าที่ตวรเป็นก็ได้ วิธีที่น่าจะดีกว่า ก็คือลองสำรวจร้านอื่น ๆ ดูไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือใหญ่ ตรวจสอบข้อมูลเรื่องเวลาและราคาในการซ่อมเช่น ค่าตรวจเครื่อง ค่าแรง หรือค่าซ่อมนอกสถานที่ (ในกรณีที่ต้องการให้ช่างมาซ่อมที่บ้าน) เป็นต้น ร้านเล็ก ๆ บางครั้งให้ความสำคัญเป็นกันเองกับลูกค้ามากกว่า ร้านใหญ่ ๆ เนื่องจากมีความต้องการอยู่รอดในการแข่งขันกับร้านใหญ่ ๆ ในขณะเดินสำรวจร้านต่าง ๆ อยู่ให้ลองสังเกคร้านที่ติดโลโก้ยี่ห้อดังเช่น ไอบีเอ็ม , คอมแพค , เป็นต้น ซึ่งมันอาจเป็นไปได้ว่า ร้านนั้น ๆ รับซ่อมเครื่องที่อยู่ในประกันของยี่ห้อนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตามร้านที่รับซ่อมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะรับซ่อม เครื่องทุกยี่ห้ออยู่แล้ว

5.ค้นหาบริการทางโทรศัพท์ บางกรณีอาจเป็นการไม่สะดวกที่จะเดินทางไปซ่อมที่ร้านโดยตรง การไปโทรศัพท์ไปปรึกษาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เมื่อคุณเริ่มโทรศัพท์หาร้านซ่อม ให้ลองสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ ที่คุณได้รับทางโทรศัพท์ เช่นต้องรอสายนานเท่าไร เต็มใจช่วยเหลือหรือไม่ แค่นี้ก็เป็นการช่วยตัดสินใจได้ว่า ควรซ่อมกับร้านนั้นหรือไม่ แล้วอย่าลืมจดชื่อรุ่นหรือ Serial Number ของคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อความสะดวก หรือจะโทรไปรายการ 94 FM ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14:00-15:00 ที่นี้รับตอบปัญหาทุกเรื่องดีมากเลย

6.ค่าธรรมเนียม เมื่อยกเครื่องคอมพิวเตอร์ไปซ่อมเป็นธรรมดาที่ช่างจะสำรวจดูว่ามีอะไรบ้างที่ต้องซ่อม ตั้งแต่สายไฟยันฮาร์ดดิส ซึ่งร้านจำเป็นจะต้องคิดค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบนี้ แต่ก็มีบางร้านเหมือนกัน ที่ไม่คิด แต่ถ้าคุณพอมีความรู้เรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ก็อาจทดลองใช้โปรแกรม Norton Utility ตรวจสอบเครื่องของคุณก่อน บางที่อาจทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินก็ได้ หรือบางที่คุณอาจโทรมาเรียกช่างมาซ่อม ที่บ้านก็ได้ แต่คุณจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น

7.คิดในแง่ร้ายไว้ก่อน หลังจากที่เครื่องของคุณได้รับการตรวจสอบอาการจากหลาย ๆ ร้านซ่อมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนในการตัดสินใจว่า จะซ่อมหรือไม่ซ่อมในร้านใดจึงจะดี ซึ่งบางครั้งร้านซ่อมอาจจะบอกว่าเครื่อง ไม่อยู่ในประกันแล้วหรืออะไหล่ชิ้นที่ต้องการไม่มีอีกต่อไปแล้ว ข่าวร้ายเหล่านี้เป็นแคเพียงขั้นเริ่มต้นใน การซ่อมคอมพิวเตอร์ของคุณ บางที่คุณอาจลองสอบถามร้านดูว่าสามารถจะเอาอะไหล่เก่าไปแลกอะไหล่ใหม่ ได้หรือไม่ ในกรณีอะไหล่ชิ้นเก่าเลิกผลิตไปแล้ว โดยอาจต้องเพิ่มเงินเล็กน้อย

8.เตรียมเครื่องให้พร้อมก่อนนำไปซ่อม ก่อนที่จะทิ้งเครื่องเอาไว้ที่ร้านเพื่อทำการซ่อมลองตรวจสอบว่าคุณได้ แบ็กอัพข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ , จด Serial number ของฮาร์ดิสก์ , ซีดีรอม , โมเด็ม และอื่น ๆ ไว้เพื่อตรวจสอบกับอุปกรณ์ที่นำมาเปลี่ยน ลบข้อมูลส่วนตัวออกให้หมดเช่น อินเตอร์เน็ทพาสเวิร์ด เพื่อป้องกันถูกลักลอบนำไปใช้

9..ขอเอกสารการซ่อมจากร้าน ก่อนที่จะทิ้งเครื่องเอาไว้ที่ร้านอย่าลืมขอเอกสารที่บอกถึงชิ้นส่วนที่จะเปลี่ยน และระยะเวลาในการซ่อม ตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดเพื่อป้องกันค่าใช้จ่านแอแฝง แล้วอย่าลืมถามถึงการ รับประกันหลังการซ่อม

10.ติดตามความคืบหน้า สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือคอยโทรไปถามว่าการซ่อมไปถึงไหน เปลี่ยนอะไรบ้าง เสร็จทันกำหนดหรือไม่ และเมื่อไปรับเครื่อง ให้ทดสอบดูก่อนว่าเครื่องทำงานปกติหรือไม่ ก่อนนำเครื่องกลับ

ที่มา http://www.bcoms.net/tipcomputer/detail.asp?id=275

ชินจัง ตอน ไปพักแบบโฮมส์สเตรส์

ตลุยโบว์ลิ่ง

ใบสัญญาเป็นแฟนกัน(ยังไม่มีไคมาลงด้วยเลยอ่ะ)

ใบสัญญาเป็นแฟนกัน
เขียนที่……………………………………………… วันที่…………..เดือน……………………พ.ศ…………… ข้าพเจ้า………………………………………อายุ……..ปี ได้สัญญากับ……………………………………อายุ……..ปี เพื่อแสดงว่าจะเป็นแฟนกันโดยมีข้อตกลงดังนี้ 1. หากเจอกันต้องทักทายด้วยความยินดี แต่ถ้าอยู่ห่างกัน 100 เมตรให้ยิ้มหวานๆประมาณ 1 นาทีและมีท่าทางประกอบเช่น บ๊ายบาย หรือส่งจูบ ถ้าฝ่าฝืนต้องโดนหอมแก้ม 3 ที 2. ห้ามพูดกับคนอื่นเกินหน้าเกินตา ถ้าจับได้จะโดนทำโทษโดยการดึงหูจนกว่าจะแดงและไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น 3. โทรศัพท์คุยกันอย่างน้อยอาทิตย์ละ 5 วัน แต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 40 นาที ถ้าไม่ว่างจริงๆต้องเขียนใบลาเพื่อรับรองว่าไม่ว่างจริงๆ 4. เวลานอนห้ามคิดถึงใครต้องคิดถึงแต่แฟนที่ลงลายมือไว้ในสัญญาฉบับนี้ก่อน แม้ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่คิดถึงขอให้นอนไม่หลับ ถ้าคิดถึงคนอื่นอยู่ขอให้โดนผีหลอก 5. ผู้ลงลายมือทำสัญญานี้ไม่มีสิทธิ์บอกยกเลิกสัญญาฉบับนี้จนกว่าบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายจะยินยอม 6. ให้ถือสัญญาฉบับนี้ไว้จนกว่าบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายจะมีแฟนใหม่ สัญญานี้มีสิทธิ์อันชอบธรรมและต้องอยู่ในความจำเป็นต้องประพฤติตามความที่ระบุข้างบนนี้ นั่นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนมีความผิดทางแพ่ง มาตรา 27 หน้าที่ 36 บรรทัดที่ 7 วรรคที่ 2 ว่าด้วยตกลงทำสัญญาแห่งราชอาณาจักรสยาม พระพุทธศักราช 2550 เพื่อเป็นหลักฐานแห่งสัญญาฉบับนี้ จึงได้ลงลายมือไว้ต่อหน้าพยานไว้เป็นสำคัญตั้งแต่วันที่………เดือน………………………พ.ศ. 2552ลงชื่อ………………………………………………ผู้ทำสัญญา (ฝ่ายชาย) (…………………………………) ลงชื่อ………………………………………………ผู้ทำสัญญา (ฝ่ายหญิง) (…………………………………) ลงชื่อ……………………………………………….พยาน (…………………………………) ลงชื่อ……………………………………………….พยาน (…………………………………) หมายเหตุ...... สัญญานี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อ คุณได้ส่งให้คนที่คุณรักแล้ว...อิอิ

เกี่ยวกับproject ที่เรียน.Chromosome DNA Isolation from Bacteria

Chromosome DNA Isolation from Bacteria

1. Spin down 50-100 ml well-grown bacteria, 3600 rpm,15min.
2. Resuspend bacteria with 20 ml Buffer S, immediately add 100 µl Proteinase K (10 mg/ml). Vortex to make sure no chunks.
3. Add 2 ml of 20% SDS, mix gently by inverting.
4. Incubate the mixture at 65 oC for 1 hr with inverting every 15 min.
5. Add 10 ml of phenol and 10 ml of chloroform, mix thoroughly by inverting for 5 min, spin at 3600 rpm for 20 min.
6. Transfer supernatant to a new tube, add 0.6 volume of isopropanol. Mix gently by inverting. You will see cotton-like genomic DNA.
7. Hook out the cotton-like DNA to a 1.5 ml tube; wash with cold 70% ethanol.
8. Dry DNA at RT, dissolve DNA in 500 µl H2O (50 oC or 4 oC overnight).
9. Add 5 µl DNase-free RNase A (20 mg/ml stock) to the DNA. Incubate at 37 oC for 30 min.
10. Add 500 µl phenol, mix, spin at 3600 rpm for 20 min. Repeat phenol extraction once if necessary.
11. Transfer supernatant to new tube, add 1/10 volume of 3M sodium acetate and 2 volume of ethanol, mix gently. You will see cotton-like DNA.
12. Hook out the cotton –like DNA, wash with cold 70% ethanol.
13. Dissolve DNA in 400 µl sterile H2O.
Yield: ~350 µg of genomic DNA from 100 ml of Desulfovibri vulgaris Hildenborough culture.

Solutions
Buffer S
Stock 200 ml
Tris-HCl (pH8.0) 100 mM 1M 20 ml
EDTA (pH8.0) 100 mM 0.5M 40 ml
NaCl 1.5M 5M 60 ml
CTAB 1% 10% 20 ml





CTAB/NaCl solution: 10% CTAB in 0.7 M NaCl
Dissolve 4.1 g NaCl in 80 ml distilled H2O and slowly add 10g CTAB (Sigma M-7635) while heating and stirring. Adjust final volume to 100 ml.
CTAB: Hexadecyltrimethylammonium bromide; Cetyltrimethylammonium bromide; Cetrimonium Bromide; Cetab; Centimide

Proteinase K (10 mg/ml)
Buffer
Glycerol 5 ml
1 M Tris-HCl (pH8.0) 0.1 ml
CaCl2•2H2O 0.0384 g if CaCl2, 0.029 g
H2O to 10 ml

Dissolve 100 mg Proteinase K in 10 ml of Buffer. Aliquot and store at -20oC.

3M sodium acetate (pH5.2)
Dissolve 204.15 g of sodium acetate•3H2O in 300 ml of H2O. Adjust pH to 5.2 with glacial acetic acid. Adjust final volume to 500 ml. Sterilize by autoclaving.

ที่มา http://ieg.ou.edu/protocol/Protocols/Chromosome%20DNA%20Isolation%20from%20Bacteria_48.doc

เกี่ยวกับproject ที่เรียน.วิธีการสกัด DNA

วิธีการสกัด DNA

เมื่อวานนี้ มีโอกาสดีที่ได้เตรียม NaI Solution สำหรับสกัด DNA ด้วยความไม่รู้ ประกอบกับนักศึกษาหลายคนในที่นี้ ไม่เคยมีใครเตรียมสารตัวนี้มาก่อนเลย เริ่มเตรียมกันตั้งแต่ 5 โมงเย็น จนเกือบ 2 ทุ่มครึ่ง NaI ก็ยังไม่ละลายเลย เอาไป heat ก็แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ละลาย จนกระทั่งเจอ Sensei พอแกแนะนำใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จ แน่นอนมันมี trick สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างเรา ก็ต้องลองผิดลองถูกไปก่อน แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
ผมคิดว่าเพื่อเป็นการบันทึกไว้ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ผมขอแสดง protocol สำหรับการสกัด DNA ด้วยวิธีนี้ไว้ด้วยจะดีกว่า
1. whole blood (sample) 0.5 ml
2. Lysis solution 0.5 ml
3. centrifuge 10,000 g for 3 min
4. ค่อยๆ เท solution ทิ้ง แล้วคว่ำปากหลอดกับกระดาษทิชชู จะสังเกตเห็นตะกอนสีขาวอยู่ก้นหลอด
5. เติม 1 ml Lysis buffer ผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปปั่นที่ 10,000 g เป็นเวลา 3 นาที ทำขั้นตอนที่ 4 และ 5 ซ้ำ 2 ครั้ง
6. เติม Enzyme reaction solution 0.2 ml
7. เติม 20 ug/ml RNase A (อาจจะเติมหรือไม่ก็ได้ ขึ้นกับว่าต้องการทำลาย RNA หรือไม่)
8. incubate ใน heating block อุณหภูมิ 50 C เป็นเวลา 10 นาที (ขั้นตอนนี้ใน paper ใช้ที่ 37 C)
9. เติม Proteinase solution 10 ul
10. incubate ใน heating block อุณหภูมิ 50 C เป็นเวลา 1 ชั่วโมง (ในpaper ใช้ที่ 37 C)
11. เติม NaI Solution 0.3 ml ค่อยๆผสมให้เข้ากัน โดยการปิดฝา แล้วคว่ำ tube ไปมา ขั้นตอนนี้จะเห็นตะกอนสีขาวอยู่ระหว่างชั้นของ reagent เมื่อผสมให้เข้ากันแล้ว จะเป็น ตะกอนขุ่นทั้งหลอด
12. เติม 2-isopropanol 0.5 ml ตะกอนที่ขุ่นจะกลับใส
13. centrifuge 10,000 g for 10 min
14. เทน้ำใสออก เหมือนขั้นตอนที่ 4
15. เติม 40% isopropanol 1 ml ค่อยๆผสมให้เข้ากัน โดยการปิดฝา แล้วคว่ำ tube ไปมา
16. ปั่นที่ 10,000 g 5 นาที
17. เทน้ำใสออก เหมือนขั้นตอนที่ 4
18. เติม 70% EtOH 1 ml ค่อยๆผสมให้เข้ากัน โดยการปิดฝา แล้วคว่ำ tube ไปมา
19. ปั่นที่ 10,000 g 5 นาที
20. เทน้ำใสออก เหมือนขั้นตอนที่ 4
21. นำไป vacuum dry ประมาณ 10 นาที ถ้า alcohol ยังระเหยไม่หมด ให้เพิ่มเวลา หรือนำไปอบที่ 65 C แล้วเปิดดูทุกๆ 5 นาที จนกว่า alcohol จะระเหยหมด
22. resuspend ใน TE buffer 0.1-0.5 ml (ขึ้นกับปริมาณ DNA ที่ได้) ไม่ต้องผสม ให้ตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง ข้ามคืน (ที่นี่อุณหภูมิราว 25 C)
การตรวจสอบว่ามี DNA หรือไม่ให้ run Electrophoresis ด้วย 0.5% agarose gel set voltage 100 V for 15 นาที นำไปย้อมใน Ethidium bromide 10 นาที แล้วนำไปถ่ายรูป
น้ำยาที่ใช้
Lysis buffer
1%(w/v) Triton X-100
0.32 M Sucrose
5 mM MgCl2
10 mM Tris-HCl pH 7.5
Enzyme reaction solution
1% (w/v) SDS
5% mM EDTA-Na2
10 mM Tris-HCl pH 8.0
RNase A (can be obmitted)
20 ug/ml RNase A
Proteinase solution
17 mg/ml proteinase K
NaI solution
7.6 M NaI
20 mM EDTA-Na2
40 mM Tris-HCl pH 8.0
ทีนี้กลับมาสู่ขั้นตอนการเตรียม NaI ที่ถูกต้อง ที่นี่เตรียมคราวละ 50 ml
ผสม EDTA กับ Tris-HCl ให้เข้ากันก่อน เติมน้ำ DI เพิ่มประมาณ 15-20 ml (เตรียมใน beaker) ใช้ช้อนตักสาร NaI ค่อยๆ เติมลงใน solution จนกว่าจะหมด สังเกตได้ว่ายังเป็นตะกอนละลายไม่หมด ให้ถ่าย solution ที่เตรียมนี้ลงในกระบวกตวง ปรับปริมาตรด้วยน้ำ DI จนได้ปริมาตร ประมาณ 44 ml ทีนี้ก็ตั้งใจคนให้ละลาย แป๊บเดียวก็เสร็จ เก็บที่ 4 C ในขวดสีชา
เห็นไหม ง่ายจะตาย แต่กว่าจะรู้ งมโข่งไปตั้งนาน 3ชั่วโมงครึ่งกับการลองผิดลองถูก ถามว่าคุ้มมั้ย คิดว่าคุ้มนะ เพราะมันทำให้เราจำไปจนตาย
หน้าที่ของสารแต่ละตัว
Lysis solution (contain 1% TritonX-100) ทำหน้าที่ break cell membrane
Enzyme reaction solution (contain 1% SDS) ทำหน้าที่ break nuclear membrane
RNase A ทำหน้าที่ย่อย RNA ปริมาณที่ใส่บางครั้งอาจย่อยไม่หมด เมื่อ run electrophoresis จะเห็น band ของ RNA วิ่งอยู่ตอนปลายของ gel
Proteinase solution ทำหน้าที่ย่อย protein
NaI solution ทำหน้าที่แยก protien น้ำตาล หรืออะไรก็ตามที่เกาะกับ DNA ให้หลุดออกมา เหมือนหน้าที่ของ Phenol Chloroform
Isopropanol ทำหน้าที่ตกตะกอน DNA
40% isopropanol ทำหน้าที่ล้าง DNA
70% Ethanol ทำหน้าที่ล้าง DNA แต่ด้วยเปอร์เซนต์ที่สูงขึ้น จึงทำให้แห้งได้ง่ายขึ้น ในขั้นตอนนี้หาก ไม่แห้ง ยังมี ethanol เหลืออยู่ เมื่อละลาย DNA ด้วย TE buffer แล้ว ethanol อาจ inhibit ปฎิกิริยาของ enzyme เช่นในกรณีที่ทำ PCR เป็นต้น ขึ้นกับปริมาณของ ethanol ที่ตกค้างอยู่ ทางที่ดี คือกำจัดออกไปให้มากที่สุด
ซ้ำอีกที ทั้งหมดนี้ มาจาก Reference
Lu Wang, Kazunari Hirayasu, Masaki Ishizawa and Yoshiteru Kobayashi. Perification of genomic DNA from human whole bolld by isopropanol-fractionation with concentrated NaI and SDS. Nucleic Acids Research 1994; 22(9):1774-1775

ที่มา http://gotoknow.org/blog/karn/12084

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552

สัตว์เลี้ยงของฉัน

Blog

Blog
- http://Jambiotech.blogspot.com แจม
- http://Yurisang.blogspot.com อัญชลิกา
- http://Sm-catt.blogspot.com ศรีณัฏฐา
- http://KikKyjung.blogspot.com กิ๊ก
- http://puilovely.blogspot.com บุ๋ม
- http://nudoza.blogspot.com แคน
- http://tikkkkkkk.blogspot.com ติ๊ก
- http://singsongman.blogspot.com ภูมิ
- http://Dekdorn.blogspot.com แมน
- http://aommi2a.blogspot.com ออย
- http://aoil-alale.blogspot.com อ๋อย
- http://Toommin.blogspot.com ติ้ม
- http://Ployniiz.blogspot.com พลอย
- http://sukanya-pat.blogspot.com แพท
- http://missketkaew.blogspot.com เกษ
- http://cakeki.blogspot.com เค้ก
- http://tanyatip49.blogspot.com จุ๊
- http://krachaow.blogspot.com กระเช้า
- http://momokojung.blogspot.com เปิ้ล
- http://poy-nana.blogspot.com ปอย
- http://jakkachai.blogspot.com เล็ก
- http://somvong.blogspot.com แอร์
- http://peiploy.blogspot.com เป้ย
- http://Toom33.blogspot.com มะตูม
- http://sukanya-pat.blogspot.com แพท
- http://missketkaew.blogspot.com เกษ
- http://somrong.bolgspot.com แอร์
- http://rcawaii.blogspot.com อาร์
- http://inuoum.blogspot.com ศศิธร
- http://pharhdorn.blogspot.com ภราดร
- http://aommiza.blogspot.com ออม
- http://momokojung.blogspot.com เปิ้ล
- http://fonultra.blogspot.com ฝน
- http://parunchar.blogspot.com เป่ย
- http://poohnarak68.blogspot.com ยาหม่อง
- http://kanikapuda.blogspot.com กรรณิการ์
- http://Gumli.sa.blogspot.com กำไล
- http://taew121132.blogspot.com อนุสรา
- http://namfongis.blogspot.com น้ำฝน
- http://whynanann.blogspot.com วัลยา
- http://kikkyjung.blogspot.com กิ๊ก
- http://sarawut007.blogspot.com เบสท์
- http://sowonpark.blogspot.com แอม

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

Photo

งานชิ้นที่ 2

1.1 เว็บไซต์บอกเวลาทั่วโลก คือ http://school.obec.go.th/bannongtapan/time.html

1.2 สถานที่สำคัญ คือ Sydney Opera House http://maps.google.com/maps?f=q&source=s_q&hl=en&geocode=&q=Sydney+Opera+House&sll=41.250968,-95.916653&sspn=0.018391,0.045319&ie=UTF8&ll=-33.857088,151.215756&spn=0.002539,0.005665&t=h&z=18

View Larger Map

1.3 เว็บไซต์บอกอุณหภูมิทั่วโลก คือ 1. http://thai.wunderground.com/

2.http://www.altalytours.com/Temperature.html

เพลงช๊อบ..ชอบฤดูอกหัก




ตารางเวลา